วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

รู้ไว้ใช่ว่า...ค้นหาเบาะแสโรคร้ายซ่อนเร้น

คุณรู้หรือเปล่าว่า ผิวแห้ง เล็บเปราะ ไม่ใช่สัญญาณเตือนให้คุณต้องหันมาใส่ใจกับมือเท่านั้น แต่ผลวิจัยใหม่ระบุว่า มือและเล็บเป็นแหล่งรายละเอียดสำคัญของสุขภาพของคนเรา รวมถึงเบาะแสของโรคร้ายที่ซ่อนเร้น เช่น มะเร็ง รายงานข่าวจากเดลิเมล์เปิดเผยว่า หญิงชราวัย 74 ปี ที่ดูภายนอกสุขภาพดีสมวัย ต้องไปพบแพทย์หลังมีตุ่มแข็งขึ้นบนฝ่ามือ ตุ่มเหล่านั้นโตขึ้นและลามมาบรรจบกัน ทำให้มือแข็งเหมือนไม้กระดาน ขยับเขยื้อนลำบากและปวด แพทย์ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ แต่ภายหลังตัดสินใจตรวจร่างกายหญิงชราหามะเร็งรังไข่ หลังอ่านตำราแพทย์และพบว่าตุ่มแข็งดังกล่าว (Palmar fasciitis) เป็นสัญญาณบ่งชี้โรคมะเร็งรังไข่ แม้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเนื้อร้ายจึงมาสำแดงอาการถึงบนฝ่ามือ แต่ทฤษฎีหนึ่งที่ฟังดูมีเหตุผลก็คือ เซลล์มะเร็งผลิตสารเคมีที่เป็นตัวการของพังผืด ดร.เกรแฮม อีสตัน แพทย์ประจำบ้านในลอนดอนและผู้จัดทำรายงาน ยืนยันว่ามือสามารถให้เบาะแสสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพ "ผมพยายามจับมือกับคนไข้เมื่อพบกันครั้งแรก ไม่ใช่เพื่อมารยาท แต่มืออัดแน่นด้วยข้อมูลสุขภาพทั่วไป ตั้งแต่ไทรอยด์ไปจนถึงโรคข้อกระดูกอักเสบ จริงๆ แล้วหมอวิเคราะห์โรคคนไข้ได้จากมือมากกว่าจากใบหน้าเสียอีก" ต่อไปนี้คือสัญญาณบนมือที่สื่อถึงปัญหาสุขภาพบางส่วน
ฝ่ามือแดง ส่อเค้า: ตับแข็ง มือบ่งบอกข้อมูลมากมายของสภาพตับ หนึ่งในสัญญาณสุดคลาสสิกของโรคตับแข็งคือ ฝ่ามือแดง ตับแข็ง หมายถึง อาการที่เนื้อเยื่อตับเต็มไปด้วยริ้วรอยแผล และแม้ส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับการดื่มหนัก แต่เป็นไปได้ที่โรคนี้เกิดจากอาการอื่นๆ ที่จู่โจมอย่างเงียบเชียบ เช่น โรคตับอักเสบซี อาการฝ่ามือแดง (Palmar erythema) มักเกิดขึ้นบริเวณขอบนอกของฝ่ามือใกล้นิ้วก้อย สาเหตุน่าจะเกิดจากการที่หลอดเลือดในผิวหนังโป่งพอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลของฮอร์โมนที่เกิดจากโรคตับ
ข้อนิ้วอ้วน ส่อเค้า: คลอเรสเตอรอลสูง ก้อนไขมันที่เอ็น (Tendon xanthoma) เป็นหนึ่งในสัญญาณของอาการอ้วนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตที่เรียกว่า ภาวะที่เลือดมีคลอเรสเตอรอลมาก หรือ hypercholesterolemia เมื่อกำมือแน่นๆ จะเห็นเป็นก้อนบวมแข็งสีออกเหลืองๆ ที่ข้อนิ้ว เอลเลน เมสัน พยาบาลแผนกโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจของมูลนิธิหัวใจอังกฤษอธิบายว่า ไขมันที่สะสมอยู่ในเอ็นมาเป็นปีจะกลายเป็นพังผืด และแข็ง คนที่เป็นโรคนี้จะมีระดับคลอเรสเตอรอลสูงมากตั้งแต่เกิด แต่ไม่แสดงอาการชัดเจน และหากไม่ใช้ยาบำบัดอาจเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายตั้งแต่เด็ก
เล็บรูปช้อน ส่อเค้า: โลหิตจาง คนส่วนใหญ่เล็บจะมีลักษณะนูนขึ้นเหมือนพื้นผิวลูกบอล แต่ถ้าเล็บใครตรงกลางบุ๋ม นั่นอาจเป็นสัญญาณของการขาดธาตุเหล็ก เล็บรูปช้อน หรือ Koilonychia เป็นหนึ่งในสิ่งแรกที่แพทย์ค้นหาระหว่างวินิจฉัยว่า ผู้ป่วยที่อ่อนเพลียและเซื่องซึมมีสาเหตุมาจากภาวะโลหิตจางหรือไม่ เชื่อกันว่าการขาดธาตุเหล็กทำให้เล็บอ่อนและแบน กระทั่งยุบลงในที่สุด
ปลายนิ้วบวม ส่อเค้า: มะเร็งปอด หากปลายนิ้วของคุณบวม อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยของโรคร้ายแรงอย่างเช่นมะเร็งปอด วัณโรค หรือ Mesothelioma ซึ่งเป็นโรคปอดร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับแร่ใยหิน แม้ลักษณะแบบนี้เคยได้รับการระบุครั้งแรกโดยฮิปโปกราเตส บิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ชาวกรีกเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว แต่เพิ่งจะเมื่อเร็วๆ นี้เองที่นักวิจัยของมหาวิทยาลัยลีดส์ของอังกฤษค้นพบสาเหตุ สาเหตุที่ว่าคือการสะสมของสาร PGE2 ที่ช่วยทำให้อาการอักเสบในปอดบรรเทาลง โดยเชื่อว่าเนื้องอกในปอดอาจกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารชนิดนี้ออกมามากเกินความต้องการถึงสิบเท่า จึงไปสะสมที่ปลายนิ้วและทำให้บวม
เล็บเขียว ส่อเค้า: หัวใจล้มเหลว หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่แพทย์จะตรวจสอบว่ามีออกซิเจนไหลเวียนในเลือดมากน้อยแค่ไหนคือ ดูจากเล็บ ริมฝีปาก หรือนิ้วเท้า ถ้าบริเวณเหล่านั้นเป็นสีชมพูหมายความว่ามีการไหลเวียนของออกซิเจนดี แต่ถ้าเขียวแปลว่าในร่างกายมีออกซิเจนต่ำ เนื่องจากเลือดไม่สามารถสูบฉีดไปทั่วร่างกายอย่างเหมาะสม อาการที่ผิวหนังมีสีเขียว (Cyanosis) อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหัวใจล้มเหลว เลือดที่มีออกซิเจนต่ำไม่ได้เป็นสีเขียวจริงๆ เพียงแต่ดูสดน้อยกว่าเลือดที่มีออกซิเจนหล่อเลี้ยงสมบูรณ์เมื่อมองผ่านเล็บ ผู้หญิงที่เตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด มักถูกขอให้ล้างเล็บ เพื่อที่ว่าศัลยแพทย์จะสามารถตรวจสอบสถานะออกซิเจนได้เร็วขึ้นระหว่างการผ่าตัด
เล็บลูกปัด ส่อเค้า: โรคไขข้ออักเสบ หากเล็บของคุณมีจุดเล็กๆ เหมือนลูกปัด หรือเหมือนถูกน้ำตาเทียนหยดใส่ อาจเป็นสัญญาณของโรคไขข้ออักเสบ แม้ข้อต่อยังไม่บวมหรือปวดก็ตาม ยิ่งเล็บมือหรือเล็บเท้า 'ประดับลูกปัด' มากแค่ไหน ยิ่งหมายความถึงระดับความรุนแรงของโรค เชื่อว่าสาเหตุมาจากการอักเสบของหลอดเลือดใต้แผ่นเล็บเพราะโรคไขข้ออักเสบ
ตุ่มที่ข้อนิ้ว ส่อเค้า: โรคข้อกระดูกอักเสบบริเวณสะโพก ตุ่มขนาดเท่าเมล็ดถั่วที่กระดูก ที่ทำให้เจ็บเมื่อจับแถวข้อนิ้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคข้อกระดูกอักเสบในบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย เช่น สะโพก หรือหัวเข่า มีการบันทึกเกี่ยวกับตุ่มเหล่านี้ (Heberden’s nodes) โดยวิลเลียม เฮเบอร์ดีน แพทย์อังกฤษผู้โด่งดังในช่วงศตวรรษที่ 18 หนึ่งในงานศึกษาในทศวรรษ 1970 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วย 29 คนที่ก่อนหน้านั้นตรวจไม่พบอาการข้อต่ออักเสบบริเวณสะโพกมี 18 คนที่มีตุ่ม Heberden's nodes ที่ข้อต่อนิ้ว เล็บสองสี ส่อเค้า: โรคไต เล็บที่ขาวซีดบริเวณครึ่งล่างด้านที่อยู่ใกล้ผิวหนัง แต่ครึ่งบนออกสีน้ำตาล อาจบ่งชี้แนวโน้มไตวาย บ่อยครั้งอาการที่เล็บสองสีเกิดขึ้นก่อนที่อวัยวะของผู้ป่วยจะเริ่มหยุดทำงาน ทำให้แพทย์ได้เบาะแสว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา สาเหตุนั้นเชื่อว่ามาจากการสะสมของยูเรีย หรือของเสียที่ออกมาจากไตที่ตกผลึกอยู่ใต้ผิวหนังและเล็บ
ฝ่ามือชื้นเหงื่อ ส่อเค้า: ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป โรคต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปเป็นอาการที่เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไทรอยด์เป็นต่อมที่อยู่ใต้ลูกกระเดือก มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ดร.ซูซาน คลาร์ แพทย์ที่ปรึกษาของโรงพยาบาลคิงส์คอลเลจในลอนดอนอธิบายว่า ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานหนักเกินไป ทำให้ร่างกายนำแคลอรีไปใช้มากขึ้น และทำให้เกิดความร้อนสูงขึ้น ความรู้สึกร้อนและอาการเหงื่อออกมากจึงเป็นอาการบ่งชี้โรคนี้
มือโต ส่อเค้า: เนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง ถ้ามือของคุณบวมและใหญ่ขึ้น หมายความว่าคุณอาจมีอาการที่เรียกว่า มือเท้าโตผิดปกติ (acromegaly) เท้า ริมฝีปาก หู ยังอาจได้รับผลกระทบจากต่อมใต้สมองที่ผลิตฮอร์โมนสร้างการเติบโต เนื่องจากมีการสร้างเนื้องอกที่ไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ไปก่อกวนการผลิตฮอร์โมน อาการนี้มักเกิดกับคนวัยกลางคน นอกจากจะรักษาด้วยการผ่าตัดหรือให้ยาเพื่อให้เนื้องอกฝ่อลง แต่บางครั้งอาการนี้อาจเป็นอันตรายร้ายแรง
ที่มา: Mail Forwarding

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

10 วิธีทำร้ายกระดูกสันหลัง...ที่คุณอาจไม่เคยรู้

1.การนั่งไขว่ห้าง - จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
2. การนั่งกอดอก - จะทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า
ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรงหรือชาได้
3.การนั่งหลังงอ - ค่อม - เช่น การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแล็คติก
ส่งผลให้มีอาการปวด เมื่อยล้า และ มีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4.การนั่งเก้าอี้ไม่เต็มก้น - ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก เพราะต้องเป็นฐานในการรับน้ำหนักตัว
5.การยืนพักขา - การยืนที่ถูกต้อง ต้องลงน้ำหนักที่ขาสองข้างเท่าๆกัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จึงจะทำให้เกิด
ความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
6.การยืนแอ่นหน้าท้อง - ควรฝึกตนเองให้ยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างมิให้แอ่น และ
ไม่ทำให้ปวดหลัง
7.การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้ว - จะนำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ นำมาซึ่งอาการปวดหลัง
8.การสะพายของหนัก - ไม่ควรสะพายสิ่งของหรือกระเป๋าที่หนักข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ควรสลับข้างเพื่อให้ร่างกาย
ได้ทำงานเท่าๆกัน เพื่อป้องกันกระดูกสันหลังคด
9.การหิ้วของด้วยนิ้ว - จะทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
10.การนอนขด - เอียง - ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนต้องไม่แข็ง หรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากนอนตะแคง ให้หาหมอนก่าย เพื่อรักษากระดูกให้อยู่ในแนวตรง

ที่มา : Mail forwarding

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

Biological Clock

นาฬิกาชีวิต ต่อมเล็กๆในสมองของมนุษย์ คือ จุดควบคุมจังหวะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและ กลางคืน ฮอร์โมนหลั่งออกมาจากต่อม เป็นศูนย์รวมบัญชาการเหล่านี้ คือเครื่องชี้นำที่เราท่านมีความสุขหรือเป็นทุกข์กังวล เป็นความจริงที่ควรรับทราบเพราะหากรู้ธรรมชาติตรงนี้ดีแล้ว จะได้แบ่งดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันของตนได้ เหมือนกับ มีนาฬิกาภายในร่างกายคอยชี้บอกให้ทราบว่าช่วงนี้ จังหวะร่างกายจะมีสภาพอย่างไร ศาสตร์ในเรื่องพฤติกรรมตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าโครโนไบโอโลยี ถ้าหากเรารู้จังหวะ รู้จักระมัดระวังชีวิต ก็จะอยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้ไม่ยาก
06.00 น. ต้องยอมรับว่า หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด

07.00 น. เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ จะถูก เปลี่ยนเป็น พลังงานได้อย่างสมบูรณ์

08.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุด เพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตันจนเกิด อันตรายได้มากกว่าช่วงเวลาอื่น

09.00 น. สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำ สมองจะรับและบันทึกไว้ได้ดีที่สุด

10.00 น. ถ้าเป็นไปได้ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญากับวิเคราะห์ ด้วยเหตุผลและการพูดจาระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็น จุดเด่นในช่วงนี้

11.00 น. ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต ทำงานได้เต็มที่ ช่วงนี้ไม่ว่าจะ เป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด

12.00 น. จุดหักมาถึงแล้ว สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้

13.00 น. กระเพาะอาหารเตรียมทำงานของมันด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรรับประทานให้ได้ ไม่งั้นโรคกระเพาะอาหาร จะตะโกนถามหา

14.00 น. ถ้าหากด้องการประดิดประดอยอะไรเพื่อเซอไพรส์คนรักคนชอบละก็ให้รีบทำซะตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่มือไม้ทำงานได้ ประณีตดีที่สุด

15.00 น. พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาสเข้าพบเจ้านายเพื่อ ขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดใด

16.00 น. มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้แหละ ถ้าทำได้ยาชาเข็มนึงจะมีผล พอๆ กับการได้รับ 3 เข็ม เลยทีเดียว

17.00 น. แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาออกกำลังกายกล้ามเนื้อ อยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก18.00 น. จงระวังขณะขับรถอยู่บนถนน ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิด อุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด

19.00 น. สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมากเพียงพอ เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันในช่วงนี้ จะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดีได้เร็วมาก

20.00 น. คนเราเริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อนที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน แล้วเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะหมู่มิตร ใครที่อยากจะ บอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำใน ชั่วโมงนี้โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด

21.00 น. กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไปครั่งค้าง ในกระเพาะเกิดผลเสียหายตามมา

22.00 น. ถึงเวลาเข้านอนแล้ว ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆ กับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืน เป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น

23.00 น. ร่างกายกำลังผ่อนคลาย สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือ ช่วงนี้วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่

24.00 น. ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่ วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด0

1.00 น. ถึงตอนที่สมองเหนื่อยล้าที่สุดแล้ว ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปีแต่พอเข้า ชั่วโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด

02.00 น. ฮอร์โมนเมลาโตนิน ถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้าและมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายมากที่สุด

03.00 น. ในร่างกายมนุษย์ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่ง ใครที่จุดบุหรี่สูบมีโอกาสหลับทั้งๆ ที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปากนั่นเลยช่วงนี้มีโอกาสไฟไหม้บ้านมาก

04.00 น. ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบ จะมีปัญหากับการหายใจ05.00 น. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลายควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่วโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารกจะคลอด ออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด

ฝึกให้สวยและฉลาดในเวลาเดียวกัน

1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เห่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้นทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที ่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6.เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. ขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดีขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมาช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

ที่มา :วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

ผู้ติดตาม